quarantäne

คนเยอรมันเริ่มกลัว มีการกักตุนสินค้า ร้านอาหารถูกสั่งปิด

Blog & Review

เช้าวันเสาร์เราสองคนวางแผนที่จะตื่นแต่เช้าเพือที่จะไปซื้ออาหารที่ซุปเปอร์มาเก็ตกัน อย่างที่บอกว่าเราจะไปตั่งแต่ร้านเปิดเลย เพื่อเลิ่ยงที่จะเจอคนเยอะในช่วงสาย เพราะเรารู้ว่าวันเสาร์เป็นวันที่คนเยอรมัน นิยมมาซื้อของเข้าบ้านกันเป็นที่สุด เวลา 07.00 น เป็นเวลาเปิด พวกเราขับรถมาถึง เราแปลกใจมากที่ลานจอดรถ มีรถจอดเต็มไปหมด เกิดอะไรขึ้น !!

ตอนที่แล้ว Ep.1 ประสบการณ์ช่วงกักตัว Covid-19 ที่เยอรมัน

ถนนคนเดิน ถนนสายช้อปปิ้ง เงียบไปเลย

เราสองมองหน้ากัน เริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว ก็เป็นอย่างที่เราคิด พอเราหาที่จอดได้แล้ว เดินเข้าข้างใน คนเต็มไปหมดเลยจ้าาา… ทุกคนคงคิดเหมือนกันว่า ต้องมาซื้อของแต่เช้ากัน แต่มันไม่ใช่การซื้อของธรรมดา แต่พวดเค้าพากันตุนสินค้า พวกของแห้งต่างๆ เส้นพาสต้า อาหารกระป๋องคือหมดเกลี้ยงตั่งแต่ซุปเปอร์มาเก็ตนี้เปิดไม่ถึงครึ่งชั่วโมง !! บางคนมากันทั้งครอบครัว ช่วยกันขน รถเข็น 2-3 คัน มองเห็นแล้วน่าตกใจมาก เราเหมือนอยู่ในช่วงสงครามยังไงยังงั้น !!!

พาเดินไปดูตรงที่แคชเชียร์จ่ายเงิน คนยืนต่อแถวยาวเหยียด !!!ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นชั่วกว่าจะถึงคิว เราสองคนดูสถานการณ์แป้บหนึ่ง ก็ตัดสินใจว่า ไม่ซื้อของกันวันนี้ เพราะไม่อยากแย่งของกันแถมยังต้องเสียเวลายืนต่อคิวรอจ่ายเงินอีกเป็นชั่วโมงๆ เรารู้สึกมันเสียเวลา และเสียความรู้สึก ที่เห็นเหตุการณ์แบบนี้ ที่จริงถ้าพุดตามตรงๆ เราสองคนก็จะตุนของเหมือนกัน แต่เราจะตุนแค่พอดี สำหรับ 2 คน หากต้องโดนกักอยู่บ้าน 14 วัน เผื่อแค่ในกรณีที่เราสองคน วันใดวันหนึ่งอาจติดเชื้อโรคระบาดไวรัสโคโรน่านี้ แล้วออกไปข้างนอกไม่ได้เท่านั้นเอง

เจลเช็ดมือ และพวกน้าย่ฆ่าเชื้อต่างๆขาดตลาด ทุกคนเริ่มกักตุนสินค้าพวกนี้

พวกเราขับรถออกมา แล้วก็สามีก็ถามถึงว่าเรามีอาหารเหลืออยู่ในตู้เย็นเพียงพอสำหรับอีก 2-3 วันไหม ? เราก็บอกว่าพอ จากนั้นเราแวะซื้อแค่ขนมปังแล้วเราก็กลับกัน อาทิตย์นั้นทั้งอาทิตย์พวกเราสองคนติดตามข่าวในเยอรมันอย่างใกล้ชิด เพราะผู้ติดเชื้อมากขึ้นทุกวัน และกฎหมายในการควบคุมโรคระบาดนี้ก้มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน เราเลยต้องดูข่าว และติดตามข่าวว่ามีอะไรที่เราต้องรู้และต้องปฏิบัติตาม

หลังจากนั้นไม่นานร้านอาหารต่างๆ ก็ถูกสั่งห้ามให้มีการนั่งในร้าน แต่เป็นแบบ To go Take out ได้ ทั้งนี้ร้านขายของที่ไม่จำเป็นต่างๆก็ถูกสั่งปิดด้วย แต่ร้านที่ยังเปิดได้คือ ซุปเปอร์มาเก็ตต่างๆ ร้านขายยา โรงพยาบาล ประมาณนี้ และยังมีจำกัดการยืนระยะห่าง คือ 1,5-2 เมตรด้วย ห้ามพาลูกหลานไปหาผู้สูงอายุ เช่นปู่ย่า ตายาย เนื่องจากคนมีอายุกลุ่มนี้ คือคนที่เสี่ยงที่สุดในการติดเชื้อ เนื่อจากภูมิต้านทานมีน้อย อาทิตย์นั้นสามีก็ได้รับคำสั่งจากหัวหน้าให้ Work from Home เหมือนกัน

อาทิตย์ที่สองเริ่มมีมาตรการให้ออกข้างนอกบ้านเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น เริ่มจำกัดจำนวนคนในการไปข้างนอก ในซุปเปอร์มาเก็ตเริ่มจำกัดการซื้อของ เช่นเอาหารกระป๋องสามารถซื้อได้คนละ 2 กระป่องเท่า กระดาษชำระครอบครัวละ 2 pack เท่านั้นอะไรประมาณนี้ เพื่อไม่ให้ประชาชนกักตุน และจะได้กระจายสินค้าให้ได้ทั่วทุกครัวเรือน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่ไม่สามารถไปแย่ง หรือกักตุนสินค้าได้ ซึ่งเราคิดว่าเป็นความคิดที่ดีมาก

นอกจากนั้นมีการห้ามเยี่ยมคนป่วยตามโรงพยาบาล หรือบ้านพักคนชรา ห้ามปิกนิก ห้ามจัดปาร์ตี้ต่างๆ ข้อห้ามปลีกย่อยเริ่มมีมากขึ้น แต่คนติดเชื้อก็ไม่ลดลงเลย แต่ก็น่ายินดีที่ประเทสเยอรมนี คนเสียชีวิตจากโรคระบาดไวรัสโคโรนานี้น้อยมาก คือถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆทั่วโลก และนอกจากนั้นคนที่รักษาหายก็มีเยอะเหมือนกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยินดี

แต่สิ่งที่แปลกในเยอรมัน เค้าไม่นิยมที่จะสวมหน้ากากอนามัยกัน เนื่องจากเค้ามีความเชื่อกันมาตลอดว่า คนที่ป่วยเท่านั้นที่จะใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นติดโรคไปนั่นเอง แต่ถ้าเราปั้บ เค้าจะคิดว่าเราป่วยทันที วึ่งอาจโดนบูลลี่ได้ นั่นแหละทำให้เราไม่กล้าที่จะใส่หน้ากากอนามัยไปเดินตามถนนทั่วไปได้ และที่นี่ก็แทบจะไม่มีคนใส่เลย เพราะทางรัฐบาลเค้าประกาศมาว่า ใส่ไปก็ไม่ช่วยอะไร

กระดาษชำระเป็นสินค้าที่หายากมากในช่วงอาทิตย์แรกที่ต้องกักอยู่บ้าน เพราะคนกักตุนกันเยอะด้วยความ panic พออาทิตย์ที่ 3 สินค้าเริ่มมีมากขึ้น และเพียงพอ

อาทิตย์ที่สามหลัง Quarantäne เริ่มมีกฎหมายออกมาว่าต้องโดนปรับถ้าขัดขืนคำสั่งในช่วงนี้ เราสองเริ่มปรับตัวในการใช้ชีวิตแบบนี้ เราจะไปซื้อของสดไว้ทำอาหารประมาณอาทิตย์ละครั้งเหมือนเดิม แต่เราไม่เลือกที่จะไม่ไปในวันเสาร์ แต่เราไปกันวันธรรมดาแทน และจะไปกันคือตอนใกล้ปิด เพราะช่วงนั้นคนไม่มีแล้ว ทุกวันเราจะเดินในสวนสาธารณะข้างบ้านวันละครึ่งชั่วโมง โชคดีที่ๆพักของเราอยู่ติดกับสวนสาธารณะเลย ทำให้เราสามารถมาเดินสูดอากาศบริสูทธิ์ได้ทุกวัน

ก็วิตกนะที่เห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นทุกวันๆ จากวันนั้น ถึงวันนี้คนที่ติเชื้อโควิด-19 ในประเทศเยอรมนีก็ใกล้ถึงหลักแสนแล้ว และมันจะหยุดที่ตัวเลขเท่าไหร่? คนจะเสียชีวิตเยอะไหม? เมื่อไหร่จะมียารักษาซักที ? ไม่สามารถที่จะหาคำตอบได้ หลายอย่างทำให้เราคิดและและหาหนทางว่าเราต้องตั้งรับ และเตรียมพร้อม โดยเราสองคนเริ่มกินอาการที่มีประโยชน์แก่ร่างกาย กินผักเยอะมาก กินผลไม้ทุกมื้อ เรามีความเตรียมพร้อมมาก ร่างกายเราต้องแข็งแรงไว้ก่อน และบอกกับตัวเองว่า เราต้องรอด